เล่าเรื่องของคนชอบเหล้า จั่วหัวแบบนี้ อย่าเพิ่งคิดว่า ยุ้ยแปลงกายเป็น “เมรี” ไปแล้วนะคะ ที่ต้องรีบออกตัวก่อนเลยว่า ยุ้ยไม่ดื่มเหล้า หรือ แอลกอฮอล์เลย เต็มที่ก็ได้แค่ค็อกเทลเท่านั้น เพราะว่ามันอร่อยดี ^^ ในชีวิตก็ไม่เคยเมาเสียทีจนเพื่อน ๆ บอกว่าน่าจะลองเมาดูสักครั้งนึงนะ และขอบอกว่าถ้าเป็นช่วงเข้าพรรษายุ้ยคงไม่เล่าเรื่องเกี่ยวกับเหล้าเด็ดขาดเลย !

 

ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหล้าที่กินแล้วเมามันอร่อยตรงไหน ? ด้วยความอยากรู้ ในเมื่อเราเองไม่ดื่ม ก็ควรไปแสวงหาคำตอบคนที่ “ดื่มจริง เมาจริง”  ใช่ไหมคะ … บังเอิญว่าได้มีโอกาสเสวนาพาเพลินกับ “พี่ชาย” (นามสมมติ) ที่รู้จักท่านหนึ่งจึงได้คำตอบที่งดงามปานสร้างภาพว่า “ข้าพเจ้ามิได้ชมชอบสุรา หากแต่ชอบบรรยากาศในการร่ำสุรา” … แหม รู้ทันหรอกน่า ว่ายืมคำพูดของโกวเล้งมา เห็นหมวย ๆ แบบนี้ก็ต้องอ่านอ่านนิยายกำลังภายในมาบ้างนะคะ 🙂

 

เรื่องของเรื่องที่อยากจะเล่าก็คือว่า เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วได้เกิดปรากฏการณ์เล่น Hashtag ยอดฮิตเป็นลูกโซ่ต่อ ๆ กันอย่างสนุกสนานเฮฮาที่ชื่อTagว่า #พี่เจ็บมาเยอะ ในสังคมทวิตเตอร์แห่งประเทศไทย จึงได้มีโอกาสตามไปดูคลิปต้นเรื่อง จาก YouTube ชิ้นหนึ่งกระแสแรงมาก แค่วันแรกที่ปล่อยออกมาก็สร้าง view ได้ถึง 7,000 views และตอนนี้ทะลุ 10,000 views   คลิปนี้มีชื่อที่ชวนสงสารว่า “พี่เจ็บมาเยอะ” พอดูจบแล้วก็ชวนสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือมั่ว เรื่องชัวร์หรือไม่ แล้วทำไมคนคนนั้นจึงกล้าพกเครื่องเป่าแอลกอฮอล์ขนาดนั้น

 

เล่าโดยสรุปคือ รุ่นพี่ (ในคลิปบอกว่าเป็นเจ้านาย) พารุ่นน้องฝึกงานไปกินเลี้ยงและกินเหล้าในคราวเดียวกัน เหตุการณ์ในคลิปน่าจะเกิดหลังจากการดวลแก้วกันแล้ว โดยที่ รุ่นน้องคอพับลองไปกับโต๊ะ  แต่รุ่นพี่ยังคุยข่มว่า (คอ) แข็ง แถมยังเล่นกล้องอีกต่างหาก ฉับพลันก็หยิบอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งขึ้นมา เดาได้ไม่ยากว่าเป็นเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ ว่าแล้วก็เป่าเจ้าเครื่องนั่นให้เห็นจะๆ … ดื่มจนหน้าเมาขนาดนั้นปริมาณแอลกอฮอล์ ยังไม่เกิน 50 mg% !! แถมตอนท้ายๆ ยังท้าทายคุณตำรวจที่รักอีกซะด้วย แน่ะ !

 

ถึงยุ้ยจะไม่ดื่มแต่ก็เปิดรับข้อมูลข่าวสารอยู่บ้าง ก็รู้มาว่า ดื่มแค่แก้วสองแก้ว ก็มีโอกาสเป่าแล้วทะลุจุดเดือดแล้ว  ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองกลับไปถาม “พี่ชาย” คนเดิมดีกว่า…

 

“พี่ชาย” เล่าให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้คนดื่มเหล้า กลัวด่าน มากกว่ากลัวเมาซะอีก ประมาณว่า “เมาก็แค่เดินเซ แต่ถ้าเป่าไม่ผ่านนี้ต้องเข้าซังเต”  จึงมี “ตัวช่วย” ที่ให้แอลกอฮอล์สลายได้เร็วขึ้น อย่างน้อยก็เร็วกว่าที่เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์จะวัดได้

 

“ตัวช่วย” ก็มีหลายแบบ ตั้งแต่พยายามดื่มน้ำเปล่าตามไปมาก ๆ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เราเห็นวางขายตามท้องตลาด ทั้งดื่มก่อน ดื่มหลัง ดื่มเป็นน้ำ หรือว่าทานเป็นเม็ด ก็เลยคุย ๆ กับ “พี่ชาย” คนดังกล่าวว่า ยุ้ยเพิ่งกลับมาจากญี่ปุ่น แปลกใจมากกับวัฒนธรรมการดื่มที่แสนจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะขณะที่ยุ้ยเข้าไปร่วมงานสัมมนาด้านดิจิตอลกับสมาคมแห่งหนึ่ง เขามีการเตรียมเบียร์กระป๋อง เหล้ายาปลาปิ้งไว้พร้อม แถมเราเป็นแขกก็จำเป็นต้องแกล้งเปิดกระป๋องเบียร์ชนแก้วกับเขา ทั้งที่ไม่ได้ดื่มเลย

 

Drink-at-Japan

งานสัมมนาวิชาการ ยังมีเหล้าเบียร์ไว้ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาพร้อมสรรพ

 

Drink-at-Japan-2

จำเป็นต้องชนแก้วตามธรรมเนียม แต่หลังจากนั้นเอากระป๋องไปแอบไว้ข้าง ๆ เวที

 

หรือว่าหลังเลิกงานก็จะมีร้านผับบาร์เยอะแยะมากมายที่ชาวญี่ปุ่นมาพบปะสังสรรค์เพื่อดื่ม ก็ยังคิดแปลกใจอยู่ว่า เขากินกันหนักขนาดนี้ ตื่นเช้าเขาไปทำงานกันได้โดยไม่มีอาการมึนเมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร “พี่ชาย” เลยบอกว่า เพื่อนญี่ปุ่นเคยสอนเทคนิคให้ฟังว่า ก่อนและหลังดื่มเหล้า ชาวญี่ปุ่นจะกินสารตัวนึงเข้าไปที่ชื่อว่า แอลกลูต้าไธโอน เขาว่ากันว่าจะเข้าไปช่วยตับในการขับสารพิษจากแอลกอฮอล์ก่อนเข้าสู่กระแสเลือดอะไรประมาณนี้ล่ะ  … ยุ้ยก็ไม่แน่ใจว่าสารนี้มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทยหรือเปล่า อาจจะต้องไปลองพลิก ๆ ดูข้างขวดข้างแผงกันเอาเองนะคะ

Drink-at-Japan-3

 

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็น “เรื่องเล่า” (บางส่วนมาจากลิงค์นี้http://japan-anti-hangover.blogspot.com/ )  และยุ้ยคงไม่คิดจะพิสูจน์เพราะเป็นคนไม่ดื่มและไม่เคยเมา แต่ถ้าใครจะลองพิสูจน์ ก็เชิญได้เลยตามอัธยาศัยนะคะ ลองแล้วกระซิบบอกด้วยก็จะขอบคุณยิ่งเลยค่ะ ^^

 

ท้ายนี้ ยุ้ยขอย้ำว่าการดื่มสุราเป็นระยะ ๆ นอกจากจะผิดศีลข้อ ๕ แล้ว ยังไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ แถมยังอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าหากรัก “ชอบบรรยากาศในการร่ำสุรา” จริง ๆ ก็ควรแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและสังคมด้วยการไม่ขับ กลับแท็กซี่ดีกว่าค่ะ

 

ด้วยความปรารถนาดี